Posted on

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ไวรัสร้าย แต่ป้องกันได้

COVID-19 ก็ยังไม่หมด โรคฝีดาษลิง ก็จ่อเข้ามาอีกแล้ว อะไรกันครับเนี่ย !!

โรคฝีดาษลิง หรือไข้ทรพิษลิง (Monkeypox) เกิดจากไวรัส Othopoxvirus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเชื้อไวรัสโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการรักษาหรือมีวัคซีนป้องกันโดยเฉพาะ แต่สามารถควบคุมการระบาดได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันได้ 85%

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) โรคนี้พบมากในแถบแอฟริกากลาง และแอฟริกาตะวันตก และตามที่มีข่าวว่า มีการพบผู้ป่วยในประเทศที่อยู่นอกเขตแอฟริกา เช่น สหรัฐอเมริกา อิสราเอล สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร นั่นก็เพราะเกิดจากการเดินทางระหว่างประเทศหรือการนำเข้าสัตว์ติดเชื้อเข้าประเทศ แท้จริงแล้วโรคฝีดาษลิง ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี โดยโรคฝีดาษลิง ถูกค้นพบครั้งแรกในโลก ในปี พ.ศ. 2501 จากลิงที่ป่วย ต่อมาก็ได้มีการพบการติดเชื้อในคนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 ที่ประเทศคองโก จะเห็นได้ว่า โรคฝีดาษลิง นั้นเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ที่พบในแอฟริกากลาง และแอฟริกาตะวันตก นอกจากลิงแล้ว สัตว์อื่นก็สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ เช่นกัน เชื้อไวรัสฝีดาษลิง พบได้ในสัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้ ปัจจุบันมีรายงานการเกิดเชื้อไวรัส ฝีดาษลิง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง และสายพันธุ์ แอฟริกาตะวันตก ซึ่งสายพันธุ์แอฟริกากลางเป็นสายพันธุ์ที่มีการรายงานติดต่อจากคนสู่คน 

ผู้ที่มีความเสี่ยงว่าติดเชื้อมากที่สุด คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าในแอฟริกากลาง หรือแอฟริกาตะวันตก หรือมี การล่าสัตว์เพื่อทำอาหาร หรือ ส่งออกเป็นสัตว์เลี้ยง  และมีรายงานพบการติดเชื้อจากคนสู่คน จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง ผิวหนัง หรือ ละอองฝอยจากการหายใจ หรือแม้แต่น้ำปัสสาวะ (แม่แต่เข้าห้องน้ำก็อาจติดเชื้อได้) โดยผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง บางครั้งคล้ายกับอาการของโรคอีสุกอีใส และหายเองได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ฝีดาษลิงอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้ในบางกรณี และเคยมีรายงานว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตมาแล้วหลายคนในแอฟริกาตะวันตก โดยอัตราการเสียชีวิตอยู่ในกลุ่มเด็กเล็กสูงถึง 10%

โรคฝีดาษลิง (MonkeyPox) ในเด็ก

โรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จากการสัมผัสใกล้ชิด โดยไวรัสชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยแตกบนผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ หรือผ่านทางตา จมูก หรือปาก โดยคนสามารถติดเชื้อโรคนี้จากการสัมผัสโดยตรงโดยผ่านการสัมผัสทางผิวหนังกับผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสชนิดนี้ กับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ติดเชื้อกัด หรือจากการกินเนื้อสัตว์มีเชื้อที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหลังจากได้รับเชื้อ อาการป่วยจะกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่สามารถหายจากโรคเองได้ แต่ในกรณีผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือเสียชีวิตได้ โดยมีอาการที่สังเกตได้ คือ หลังจากที่สัมผัสเชื้อไปแล้วประมาณ 12  วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการแสดง ได้แก่

  • ระยะก่อนที่ผิวหนังจะออกเป็นผื่น (Invasion Phase)  
    • เริ่มด้วยมีไข้ ปวดหัว ปวดตัว ปวดหลัง อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโต
    • โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการที่สังเกตได้ของโรคฝีดาษลิง ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่นๆ ที่มีตุ่มน้ำตามมา เช่น โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) , โรคหัด (Measles) , โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (Smallpox)
    • อาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ท้องเสีย อาเจียน และอาการทางระบบหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ เหนื่อย ได้อีกด้วย
  • ระยะที่ผิวหนังออกเป็นผื่น (Skin Eruption Phase)
    • หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีอาการแสดงทางผิวหนัง มีลักษณะตุ่มผื่นขึ้น โดยเป็นตุ่มที่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเริ่มจากรอยแดงจุดๆ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มน้ำหนอง และจากนั้นจะแห้งออกหรือแตกออกแล้วหลุด เรียงไปตามลำดับ
    • โดยตุ่มมักจะหนาแน่นที่บริเวณใบหน้า และแขนขา มากกว่าที่ร่างกาย
    • ในระยะออกผื่น ผื่นจะกลายเป็นสะเก็ดคลุม แห้งและหลุดออกมา โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์

ณ วันนี้ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 เรายังไม่พบการแพร่ระบาดโรคฝีดาษลิงในประเทศไทย แต่พวกเราควรจะต้องทำความรู้จักกับโรคนี้เอาใว้ก่อน เพื่อระมัดระวัง และป้องกันตนเอง สำหรับผู้ที่มีภารกิจ ต้องเดินทางไปประเทศ ที่เป็นสถานที่เสี่ยง ซึ่งอาจมีความเสี่ยง หรือมีโอกาสติดเชื้อ และนำเชื้อกลับมายังประเทศไทยได้ ก็อย่าลืมป้องกันตนเอง และหมั่นคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และหากหลีกเลี่ยงที่จะต้องเดินทางไปยังประเทศที่พบว่ามีผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงไม่ได้จริงๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย สัตว์ที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคโดยเฉพาะลิง และสัตว์ฟันแทะต่างๆ เช่น กระรอก กระต่าย หนู
  • หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ  โดยเฉพาะหลังสัมผัสสัตว์ หรือสิ่งของสาธารณะ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด น้ำเหลืองของสัตว์
  • ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่เสี่ยงมีการแพร่ระบาด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มหนอง หรือตุ่มน้ำใส จากผู้มีประวัติเสี่ยง หรือผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อแล้ว

ในกรณีที่สัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือคาดว่าได้รับเชื้อไปแล้ว ควรฉีดวัคซีนป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิน 14 วัน (วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ แต่จะต้องฉีดในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเท่านั้น และยังสามารถรับวัคซีนได้ภายหลังจากการได้รับเชื้อไม่เกิน 14 วัน) หากท่านคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง ก้ควรแยกกักตัว เหมือนๆ กับการกักตัว ของผู้มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโรค COVID-19 น่ะแหละครับ

สรุป โรคฝีดาษลิง ณ วันนี้ 29 พฤษภาคม 2565 ยังไม่มีรายงานว่าเข้ามาในประเทศไทย แต่เราก็ควรระวังตัว และป้องกันเอาใว้ก่อนครับ เพราะเชื้อไวรัสนี้ สามารถล่องลอยได้ในอากาศ และยังสามารถติดตามพื้นผิววัสดุ (ที่ผู้ติดเชื้ออาจจะไอ หรือจามสารคัดหลั่งออกมา) หรือแม่แต่การเข้าห้องน้ำที่ผู้ติดเชื้อ เข้าไปขับถ่าย หรือปัสสาวะ ใว้ก่อนหน้าที่เราจะเข้าไป

เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ PHILIPS UVC Disinfection Unit

ดังนั้น เพื่อความสบายใจ ผมขอแนะนำให้ใช้ เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ และพื้นผิว ยี่ห้อ PHILIPS ที่ทางบริษัท ไลฟ์ โพรเทค จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่าย ช่วยเสริมการป้องกัน ช่วยปกป้องคนที่คุณรัก และตัวคุณเอง

เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศและพื้นผิว แบบล้อเลื่อน เคลื่อนย้ายได้ PHILIPS UVC Trolley

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อคุณกัมปนาถ HotLine : 0971524554

Life Protect Company Limited

Tel. 02-9294345-6

id Line : Lphotline

Email: LPCentermail@gmail.com

Posted on

คิดจะซื้อเครื่องฟอกอากาศ…คุณต้องรู้เรื่องนี้ !!

ในทุกๆวัน นอกจากเราค้องผจญกับฝุ่น PM2.5 แล้วเรายังต้องระวังเชื้อไวรัส โควิท-19 ด้วยนะครับ

หลายๆ คนที่คิดจะซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้ ผมขอแนะนำให้คุณ เลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีกำลังในการฟอกอากาศสูง มีเซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่น PM2.5 และมีหน้าจอแสดงผลค่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวเลข

ทำไมผมจึงแนะนำแบบนี้  เพราะว่าถ้าเครื่องฟอกอากาศที่คุณคิดจะเลือกซื้อมาไว้ในห้อง ไม่มีตัวเซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่น และไม่มีหน้าจอแสดงผลค่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวเลข แล้วเราจะรู้ได้ยังไง? เราจะมั่นใจได้ยังไง? ว่าหลังจากที่เริ่มเปิดใช้งานเครื่องฟอกอากาศแล้ว อากาศในห้องของเราสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นหรือยัง ? ลอกนึกภาพดูครับ อากาศภายนอกบ้าน ภายนอกอาคารที่เต็มไปด้วยฝุ่น PM2.5 แล้วเราเปิดประตูเข้าบ้าน เข้าอาคารสำนักงาน เปิด เข้าๆ ออกๆ เพราะเราต้องมีการทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวัน ทุกครั้งก็จะมีฝุ่นติดเข้ามาด้วย ยิ่งอาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ถนน หรืออยู่ในเมืองใหญ่ ที่มีการจราจรแออัดพลุกพล่าน หรืออยู่ในแนวการก่อสร้างทางด่วน แนวการก่อสร้างรถไฟฟ้า นี่ไม่ต้องสืบเลยครับฝุ่นเพียบจนแทบไม่อยากจะเปิดประตูหน้าต่างกันเลย พอเราเข้าห้องมาเราเปิดเครื่องฟอกอากาศ ถ้าไม่มีระบบตรวจวัดค่าฝุ่น และการแสดงผลเราก็จะไม่รู้เลยว่าสภาพอากาศรอบๆตัวเราในห้องนั้น มีค่าฝุ่น PM2.5 มากน้อยเพียงใด นั่นคือที่มาและเหตุผลที่ผมมาแนะนำเรื่องนี้

หน้ากากอนามัย บางชนิดป้องกันการแพร่เชื่อไวรัส COVID-19 ได้ แต่กรองฝุ่น PM2.5 ไม่ได้นะจ๊ะ

ทุกวันนี้ ด้วยวิวัฒนาการเทคโนโลยีในปัจจุบันของเครื่องฟอกอากาศ วิศวกรได้คิดค้นและออกแบบเครื่องฟอกอากาศให้มีกำลังในการฟอกอากาศสูงมากขึ้น และได้ออกแบบเครื่องฟอกอากาศแบบที่มีเซ็นเซอร์ และหน้าจอแสดงผล ออกมาให้เราเลือกซื้อใช้หลายรุ่น (เพียงแต่เราต้องจ่ายตังค์เพิ่มอีกหน่อย) ไอ้เครื่องฟอกอากาศแบบนี้แหละ ที่ทำให้เราสามารถมองเห็นอากาศที่อยู่รอบๆ ตัวในห้องของเราได้ในรูปแบบตัวเลข Digital บนจอแสดงผลที่จะบอกให้เรารับรู้ได้ว่า ณ เวลานั้น สภาพอากาศในพื้นที่ห้องที่เราอยู่ขณะนั้นเป็นอย่างไร ปลอดภัยต่อสุขภาพทางเดินหายใจ และร่างกายเราหรือไม่ การแสดงผลสภาพอากาศภายในห้องเราเป็นตัวเลขแบบนี้ จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการควบคุมสภาพอากาศในห้องได้ง่าย และวางแผนการดูแลสุขภาพของคนที่คุณรักและตัวคุณเองได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะหากคุณหรือคนในครอบครัวของคุณ เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงและควรต้องเฝ้าระวังเรื่องฝุ่นพิษ PM.2.5 นี้เป็นพิเศษ เช่นผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ที่อาจจะมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือน้อยกว่าคนทั่วไป

  แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าค่าตัวเลขฝุ่น PM2.5 ค่าขนาดไหนล่ะ? ถึงจะเป็นค่าที่ปลอดภัย แล้วค่าตัวเลขระดับไหนที่เป็นอันตราย? ผมเชื่อว่าหลายๆท่าน ไม่รู้ ! ถ้าไม่รู้ตามมาอ่านต่อทางนี้เลยครับ ผมจะบอกให้

เครื่องฟอกอากาศที่ดี ควรมีเซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่น PM2.5 และแสดงผลที่หน้าจอเป็นตัวเลข

องค์การอนามัยโลก ( World Health organization หรือ WHO) ได้กำหนดค่าฝุ่น PM2.5 ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ จะต้องมีค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมงต้องไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นั่นมาตรฐาน WHO นะครับ แต่มาตรฐานของบ้านเรา ประเทศไทย ได้กำหนดค่ามาตรฐาน PM2.5 ไว้ที่ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

อ้าว.. แล้วอย่างนี้ ไอ้ที่ว่าปลอดภัย ค่ามันควรจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ ? WHO อเมริกาไปอย่าง ไทยไปอีกอย่าง เอาไงดี ?   เอาอย่างนี้ครับ เราไม่ต้องไปสนใจ ค่า WHO หรือ ค่าที่ไทยกำหนด ปล่อยเขาไป !!  เรามาใช้ค่าที่อ้างอิงจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (US Environmental Protection Agency หรือ EPA) กันดีกว่า เพราะในไทยเราหน่วยงานใหญ่ๆ หรืออาคารสูงที่มีมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพอากาศใช้มาตรฐานการอ้างอิงจาก EPA กันเป็นหลัก

รูปแสดงระดับตัวเลขของค่าฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ค่าปกติจนถึงระดับอันตราย ที่มีผลต่อสุขภาพ

EPA ได้กำหนดไว้ว่า ค่า PM2.5 ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพที่ส่งผลต่อสุขภาพน้อย อยู่ที่ 0-12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และหากเมื่อใดที่ค่าฝุ่น PM2.5 มีค่ามากกว่า 12.1 ไปจนถึง 35.4 จะถือว่าเริ่มส่งผลต่อสุขภาพทันที โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ จะเริ่มรับรู้ มีอาการรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้  แต่ถ้าหากตัวเลขค่าฝุ่น PM2.5 มีค่าสูงขึ้นจาก 35.4 ไปจนถึง 55.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก็จะเพิ่มโอกาสของผู้ที่มีปัญหาด้านโรคหัวใจ และโรคปอดจะมีอาการรุนแรงขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้ในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและโรคปอด และผู้สูงอายุ ดังนั้นหากเราเปิดเครื่องฟอกอากาศ แล้วพบว่ามีค่าตังเลขแสดงขึ้นมามากกว่า 12 เราก็เร่งกำลังเครื่องฟอกอากาศให้แรงสูงสุด เพื่อดึงค่าฝุ่น PM2.5 ให้ลงมา น้อยกว่า 12 เร็วๆ ดีที่สุด (ในเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นที่มี Mode Auto  เมื่อเปิดเครื่อง เครื่องฟอกอากาศจำทำการวัดค่าฝุ่น PM2.5 ในสภาพแวดล้อมนั้นโดยอัตโนมัติ เมื่อวัดค่าแล้วเครื่องจะทำการเลือก Speed กำลังแรงของลมดูดอากาศเข้ามาฟอกโดยอัตโนมัติ)

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เครื่องฟอกอากาศที่มีการแสดงผลค่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวเลขนั้นดีกว่า น่าใช้งานกว่าเครื่องฟอกอากาศที่ไม่มีค่าการแสดงผล หรือแสดงผลเป็นแถบสีแต่ไม่แสดงผลเป็นตัวเลข และจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้าเครื่องฟอกอากาศนั้น สามารถกรองได้ทั้งฝุ่น PM2.5 และช่วยฆ่าเชื้อไวรัสในอากาศได้ไปพร้อมๆกันด้วย !!

ไลฟ์ โพรเทค จำหน่ายเครื่องฟอกอากาศกำลังสูง และฆ่าเชื้อโรค
เครื่องฟอกอากาศกำลังสูง Model.Y-1000 ได้รับความใว้วางใจ ให้ใช้ในโรงพยาบาลรัฐ และเอกชนหลายแห่ง

ยินดีให้คำปรึกษา สำรวจหน้างาน ปรับปรุงระบบคุณภาพอากาศ ระบบเครื่องฟอกอากาศ ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย

ติดต่อ บริษัท ไลฟ์ โพรเทค จำกัด

โทร.02-9294345-6 Hotline: 097-1524554 , 063-7855159

Email : LPCentermail@gmail.com

Id Line: Lphotline

www.Lifeprotect.co.th